บทที่ 14
มายาวินนั่งเรือมาถึงบ้านเรือนไม้ทาสีขาวแบบบ้านสมัยเก่าหลังหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา รอบอาณาบริเวณเต็มไปด้วยร่มไม้ใหญ่ร่มรื่นและดูคล้ายจะเป็นสวนผลไม้ ในบริเวณเดียวกันนั้นยังมีบังกะโลหลังเล็กๆ ที่มีชานระเบียงยื่นออกไปสู่แม่น้ำอีกหกหลัง หนึ่งในจำนวนนั้นเขาเห็นฝรั่งคนหนึ่งกำลังนั่งพิมพ์งานอยู่บนเก้าอี้เล็กที่จัดไว้ให้ตรงระเบียง
“เอ้า…ถึงแล้วครับคุณ บ้านพ้นทะเล” ท้ายเรือตะโกนบอกด้วยเสียงสั้นห้าวเมื่อมาถึงบันไดขึ้นบ้านที่มีป้ายติดตรงหัวบันไดหรา “บ้านโพ้นทะเล…Beyond The Sea”
บนแผ่นป้ายมีเรือใบลำเล็กสีฟ้าประดับอยู่ ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเหยียบกาบเรือก้าวขึ้นสู่บันไดแล้วนึกถึงที่ลุงท้ายเรือเรียก
“บ้านพ้นทะเล” ลุงเอ๋ย…เจ้าพวกนี้มันหนีทะเลไม่พ้นหรอก
เมื่อมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย ชายหนุ่มก็มองเห็นว่าบ้านไม้เรือนขาวนั้นคือร้านอาหาร ประกอบด้วยห้องครัวทันสมัยขาดกะทัดรัดด้านในที่ไม่กั้นห้องแยกต่างหากแต่จัดวางข้าวของต่างๆ ให้ลูกค้าได้เห็นความเป็นไปในการทำอาหาร มีฮูดดูดครัวเท่านั้นที่จะทำหน้าที่ตัวเองค่อนข้างหนักทีเดียว การประดับตกแต่งต่างๆ ใช้สีฟ้า และเป็นของที่เกี่ยวกับทะเลล้วนๆ ด้านนอกเรือนไม้เป็นที่นั่งอีกเจ็ดโต๊ะอยู่ใต้เงาร่มสีขาวซึ่งขับความโดดเด่นออกในใต้เงาไม้สีเขียวครึ้มรอบข้าง
ชายหนุ่มเห็นเงาคนแวบๆ ที่ด้านหลัง จึงเดินอ้อมไปดู และนั่นก็ได้เห็นว่าพิทยากรกำลังสอนฝรั่งทำอาหารไทยอยู่ โดยมีสิริคนางค์เป็นผู้ช่วย ทุกอย่างดูวุ่นวาย แต่ทุกคนก็ดูจะเป็นสุขกับการปรุงแต่งอาหารตรงหน้าเป็นอย่างมาก
และชายหนุ่มก็ยิ้มกว้างให้กับผู้ช่วยองพิทยากรที่วางอุปกรณ์ต่างๆ ลงแล้วเดินมาหาเขา
“หายากไหมคุณวิน ?”
“ผมว่านั่งเรือมาเลยไม่ยาก แต่ถ้าให้ผมขับรถมาผมมาไม่ถูกแน่ เพราะแผนที่ที่คุณเขียนดูไม่รู้เรื่องเลย” มายาวินหัวเราะพลางยื่นไปรษณียบัตรของสิริคนางค์ที่ส่งให้เขาเพื่อบอกแผนที่การมาถึงซึ่งดูยุ่งเหยิงเป็นที่สุด ให้เจ้าของได้ดู
หญิงสาวย่นจมูกให้กับเขา แล้วหันมาจ้องชายหนุ่มไม่วางตา สี่เดือนที่ไม่ได้เจอกันเลยเพราะต่างคนต่างมีงานยุ่ง ติดต่อกันเพียงทางอีเมลและโทรศัพท์โดยไม่เห็นหน้า ไม่รู้เลยว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงขนาดนี้ จากที่ดูสำอางและเลิศหรู ดูคราวนี้…
“ทำไมคุณดำจัง”
มายาวินหัวเราะทันทีที่ได้ยินเธอว่า
“นึกว่าจะบอกคิดถึง” ชายหนุ่มครวญ “ผมก็บอกคุณแล้วว่าไปฝึกดำน้ำ ถ่ายรูปใต้น้ำมา”
“สนุกหรือเปล่า ?” พิทยากรโร่เข้ามาแทรกทันทีเมื่อสอนนักเรียนเสร็จแล้วสำหรับวันนี้
“เหมือนฝันเลยล่ะ” มายาวินว่า
“เจ๋ง” พิทยากรยิ้มกริ่ม สุข…อย่างกับเป็นความฝันของตัวเองกระนั้น ก่อนจะหันมาถามมายาวินบ้างว่า “ร้านผมเป็นยังไงบ้าง ?”
“เจ๋ง” ตอบด้วยคำเดียวกัน ก่อนจะชี้ไปที่เรือนหลังเล็กริมน้ำที่เห็นฝรั่งนั่งพิมพ์งานอยู่เมื่อครู่ “ผมชอบมากเลย ขอนอนสักคืนสองคืนได้ไหม ?”
“แหงสิ…ว่างอยู่สองห้อง ไปเลือกเอาเลย” พิทยากรเดินนำไป ก่อนจะหันมาหาแฝดสาว “อุ๋นเอากุญแจตามไปนะ”
พิทยากรใช้มาสเตอร์คีย์เปิดห้องให้มายาวินดู และทันทีที่อยู่กันสองคนเขาก็ถามถึงธนิศราภรณ์
“ที่ผมมาก็เพราะตั้งใจจะมาบอกว่าน้องสาวผมเป็นเด็กดีแล้วนะ” มายาวินยิ้ม ก่อนจะก้มลงหยิบของที่พกมาด้วยในกระเป๋า ยื่นส่งให้พิทยากรดู “ผมหอบมาจากห้องยายแพร ขโมยมานะเนี่ย เพราะปกติเขาจะเก็บเอาไว้ใต้หมอนบ้าง บนหัวเตียงบ้างน่ะ ป่านนี้คงหาจนขี้มูกโป่งแล้วมั้ง”
พิทยากรก้มดูกรอบรูปในมือ นั่นคือรูปเขาเองกับ…ธนิศราภรณ์ เขาจำได้แม่นว่าเป็นรูปที่เขาบังคับให้เธอถ่ายโดยที่ไม่เต็มใจ หลังจากที่ค้นพบว่าเธอแต่งหน้าบางๆ สวยกว่าแต่งจัดเป็นไหนๆ
ใบหน้าบูดเบี้ยวของหญิงสาวแสดงอารมณ์ชัด ใบหน้ายิ้มร้าของเขาก็ดูเป็นสุขนัก…สุขเพราะเขาเริ่มรู้ตัวว่าเขารู้สึกกับเธออย่างผู้ชายคนหนึ่งคิดกับผู้หญิงคนหนึ่ง
“ถึงเวลาหรือยังวุ้น สี่เดือนน่ะไม่ใช่น้อยๆ สำหรับจิตใจของเด็กผู้หญิงนะ”
มายาวินจ้องหน้าผู้ชายตรงหน้า…อย่างเพื่อนที่รู้ใจกัน อย่างพี่ชายที่อยากเห็นน้องสาวตัวเองมีความสุข และเพียงทันทีที่เห็นรอยยิ้มบางๆ ของคนตรงหน้า มายาวินก็ยื่นกุญแจเขาให้
“รถผมจอดอยู่อีกฝั่งหนึ่งนะ”
ได้ยินป้ายทะเบียนและที่จอดแล้ว พิทยากรก็รีบออกจากห้องพักของมายาวินทันที สวนทางกับแฝดสาวแล้วก็บอกเธอเพียง
“ไปเที่ยวหัวหิน บอกแม่ด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง”
“ไปหาแพร” มายาวินบอกคู่แฝดของพิทยากรให้หายมึน เธอพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะยื่นกุญแจให้มายาวิน แล้วหันกลับ
“จะไปไหนน่ะคุณ ?”
“ไปบอกแม่ก่อนน่ะสิ”
“อ๊ะ…ผมไปด้วย พาผมไปฝากตัวด้วยคนนะ” มายาวินรีบปิดห้องแล้วคว้ารองเท้าขึ้นเดินตามหญิงสาวไปต้อยๆ
ธนิศราภรณ์เลื่อนรถเข็นมาถึงใต้ต้นมะพร้าว มองออกไปยังเวิ้งทะเลกว้างไกล เหงาไม่ต่างจากวันก่อนๆ โดนเฉพาะวันนี้ที่บูธแสดงสินค้าใช้ลูกโป่งสวรรค์มาตกแต่งอีกแล้ว มันทำให้เธอคิดถึงวันนั้นเมื่อหลายเดือนก่อน วันที่ผู้ชายคนหนึ่งได้หันหลังจากเธอไป ด้วยทั้งหลายทั้งมวลที่เป็นความผิดเธอเอง ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง แม้รู้ว่ามายาวินจะติดต่อคนทั้งคู่อยู่ตลอดเวลา แต่เธอก็ไม่กล้าถามถึง...เพราะเธอรู้สึกทรมานแม้เพียงแค่จะเอ่ยชื่อ ทรมาน…ไม่ใช่เพราะเขาทำให้เจ็บ แต่ทรมานเพราะเธอเองเป็นคนทำให้ความสุขคราวนั้นต้องหลุดมือไป
เธอรับรู้แล้วว่า…บนโลกไม่มีใครทำอันตรายเราได้นอกจากตัวเราเอง
หญิงสาวหลับตานิ่ง เอนตัวพิงพนัก…เหงา คิดถึง และโหยหา ทั้งที่ผ่านมาแล้วเนิ่นนาน ผ่านมาแล้ว 4 เดือน ไม่ใช่น้อยๆ เลยแต่ทำไม…ไม่เคยลืม ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากดึงลูกโป่งสวรรค์คืนมาอีกสักครั้ง เธอฝันเช่นนั้นทุกวัน
“ถ้าจะหลับก็กลับไปที่ห้องไป”
เสียงดุที่ดังขึ้นมาแสนคุ้นหู หญิงสาวลืมตาโพลงทันใด แล้วก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งถือลูกโป่งสวรรค์สีแดงนับสิบลูกยืนยิ้มส่งมาให้เธอ…ผู้ชายที่คิดถึง ผู้ชายที่ถวิลหา ผู้ชายที่เป็นดั่งความสุข…ที่เธอทำหลุดมือไป
“พี่เอาลูกโป่งสวรรค์มาฝาก” ชายหนุ่มว่าพร้อมรอยยิ้มเมื่อเห็นหญิงสาวมองเขาคล้ายตื่นตะลึง และไม่เชื่อสายตา
แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อเจอตัว อากัปกิริยาแรกที่เธอทำคือหันรถกลับ คิดจะจากไป
“พี่ขอโทษนะแพร” หากเสียงที่เอ่ยขึ้นมาอย่างเว้าวอนนั้นทำให้เธอต้องชะงักมือที่คิดจะบดลำล้อ “ขอโทษที่จากไปตั้งนานแล้วเพิ่งโผล่มา ที่จริงพี่โกรธแพรนะ โกรธที่พี่ไว้ใจแพรมากแล้วแพรก็ไม่ฟังเหตุผล มาทำกันให้เสียใจ โกรธที่แพรทำน้องสาวพี่ให้เจ็บปวดอีก โกรธที่พี่ทำทุกอย่างด้วยความจริงใจแต่แพรก็ทำลายมัน ไม่เห็นค่ามันเลย”
“ไม่ใช่ไม่เห็นค่า แต่แพรหึง” คนบนรถหันขวับมามองเขาทั้งตัว ระหว่างที่เผชิญหน้ากัน…จู่ๆ น้ำตาก็ไหล “ก็ไม่มีใครบอกแพรเลยว่าพี่สองคนเป็นฝาแฝดกัน แพรหึงที่พี่กอดกัน แพรเสียใจที่ทำผิด แพรก็ขอโทษแล้วไง แพรขอโทษแล้วแต่พี่วุ้นก็ยังทิ้งแพรไป”
“พี่ขอโทษที่ไม่ได้บอก ก็คนทั้งโรงแรมเขาก็รู้ พี่นึกว่าแพรก็รู้แล้วเหมือนกัน แต่ที่พี่ต้องไปเพราะพี่อยากให้แพรได้เรียนรู้ผลของการทำร้ายคนอื่น และพี่ก็ไปเปิดร้านอาหารที่บ้านพี่ เปิดสอนการทำอาหารด้วย เพราะพี่ไม่อยากเป็นลูกจ้างของแพร ถ้าวันหนึ่งวันใดแพรได้บริหารโรงแรมขึ้นมาแล้วมีแฟนเป็นพ่อครัวที่ได้รับเงินเดือนจากแพร พี่ว่ามัน…ไม่ดีเลย พี่เลยเอาเงินเก็บไปเปิดร้านอาหาร และกลายเป็นเจ้าของธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง ที่คงสู้แพรไม่ได้ แต่พี่ก็เชื่อว่าพี่ก็ดูแลแพรได้ด้วยตัวของพี่ เงินของพี่เอง วันนี้พี่มาขอโทษ มารับ แล้วก็มาง้อ แพรจะรังเกียจไหมที่จะเริ่มใหม่กับพี่อีกสักครั้ง”
ภาพผู้ชายที่ถือลูกโป่งตรงหน้ายิ่งรางยิ่งเลือน เมื่อน้ำตาไม่รู้หยดที่เท่าไหร่ไหลเพราะห้ามไม่อยู่ ขุ่นเคืองเขาที่เพิ่งมาและปล่อยให้เธอเจ็บช้ำแทบตาย อยากโกรธ อยากหนี แต่ใจนี่ก็เป็นของเขาทุกส่วนเสี้ยว
“น้องแพรจะรับลูกโป่งสวรรค์ของพี่ได้หรือยัง ?”
แล้วใจก็สั่งให้พยักหน้า หญิงสาวปาดน้ำตาทิ้งเมื่อในความรางเลือนยังพอมองเห็นว่าชายหนุ่มเคลื่อนกายเข้ามาหา
“หยุดนะ ห้ามเดินเข้ามาอีก”
พิทยากรหยุดกึก จะอ้าปากถามว่าทำไม หากก็หยุดคำแทบทันทีที่เห็นว่าคนบนรถเข็นค่อยๆ เกร็งตัวขยับขาข้างหนึ่งแตะพื้น จากนั้นก็เกร็งแขนทั้งสองข้าง ก่อนจะใช้มือดันตัวขึ้น ค่อยๆ ยืนบนขาข้างที่แตะพื้นอย่างทุลักทุเล แล้วจึงก้าวขาอีกข้างค้ำยันช่วยในการทรงตัว
เหมือนเด็กเพิ่งตั้งไข่ไม่มีผิด…พิทยากรดูการยืนขาถ่างๆ นั้นแล้วอยากขำ หากรอยยิ้มกว้างที่ปรากฏในหน้านั้นกลับดูปลื้มปีตินัก
“พี่วุ้นไม่ต้องเดินมา แพรจะเดินไปเอง” เด็กเพิ่งตั้งไข่ว่า พร้อมๆ กับค่อยก้าวขาออกมา
ซะ…ซะ…ซะ…ซ้ายแตะพื้น ขะ…ขะ…ขะ…ขวาก้าวตาม
ซะ…ซะ…ซะ…ซ้ายแตะพื้น ขะ…ขะ…ขะ…ขวาก้าวตาม
ซะ…ซะ…ซะ…ซ้ายแตะพื้น ขะ…ขะ…ขะ…ขวาก้าวตาม
พิทยากรต้องกลั้นหายใจไปกับการช่วยลุ้นของเด็กเพิ่งหัดเดินคนนั้นที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้าและทุลักทุเล หากเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง หลายครั้งที่คนตรงหน้าเขาล้มลง แต่เธอขอให้เขาอยู่เฉยๆ เพื่อเธอจะลุกขึ้นใหม่…ล้มลงและก็ลุกขึ้นใหม่
กระทั่งอีกแค่สองก้าวจะถึงตัวเขาอยู่แล้ว เธอก็ล้มลง
พิทยากรโผเข้าไปรับตัวเธอเอาไว้ และนั่นก็ทำให้ลูกโป่งในมือหลุดกระจายขึ้นสู่ฟ้า
“หมดกัน ลูกโป่งสวรรค์หลุดมืออีกแล้ว” ชายหนุ่มว่า ขณะที่คนในอ้อมกอดใช้แขนสองข้างโอบรัดเอาแน่นขึ้น พร้อมหยดน้ำตาที่อาบผิวเขาจนชุ่ม
“แพรคว้าได้แล้ว…ลูกโป่งสวรรค์ของแพร”
น้ำเสียงปนสะอื้น หากทันทีที่ได้ยินก็ทำให้ชายหนุ่มอมยิ้มและก้มมองคนที่ซ่อนหน้าไว้ในอกด้วยสายตาเปี่ยมรักก่อนจะพูดว่า
“อย่าให้หลุดมือไปอีกนะ”
เพียงหญิงสาวพยักหน้า นั่นก็เผยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของชายหนุ่มและเพิ่มแรงอ้อมกอดของเขาให้แน่นหนักขึ้นอีก
พิทยากรมองรถเข็นที่วางเปล่า แล้วเงยมองลูกโป่งสวรรค์ที่ดูเล็กลงเรื่อยๆ
…ลูกโป่งสวรรค์ มีแล้วรักษาไว้ให้ดีนะ…
******จบ*******