“เสียงอะไรวะ!” รณภพอุทานขึ้นมาทันที ลืมความเชื่อของคนโบราณที่ว่าไม่ควรทักสุ่มสี่สุ่มห้าเมื่อได้ยินเสียงปริศนา โดยเฉพาะยามค่ำคืน เหมือนดั่งเวลาเข้าป่าก็ไม่ควรถามถึงสัตว์ร้ายไปเลย
ด้วยความเป็นคนหัวสมัยใหม่ เรื่องเก่าคร่ำครึพวกนี้เขาจึงไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก รณภพยืนนิ่งสักพัก ก่อนหมุนตัวกวาดมองรอบห้อง เสียงประหลาดนั้นยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางภาวะไร้ความเคลื่อนไหวภายในห้อง
ทุกอย่างอยู่กับที่ดั่งถูกสตัฟฟ์ไว้ มีเพียงเสียงนั้นที่ดังก้องในหัวของเขา
“ต้องมีหนูในห้องแน่ๆ” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง
บ้านนี้เป็นบ้านเก่า มีอายุเกือบห้าสิบปีมาแล้ว เป็นธรรมดาหากว่าจะมีส่วนใดส่วนหนึ่งกลายเป็นแหล่งซ่องสุมของพวกสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่คน รณภพคว้าไฟฉายที่เก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะ สาดแสงไปตามซอกหลืบมืดเร้นเช่นหลังตู้หนังสือ ซอกตู้เสื้อผ้า และส่วนอื่นๆ ที่คิดว่าน่าจะมีหนูกำลังกัดแทะบางอย่าง ชายหนุ่มออกแรงเลื่อนตู้เสื้อผ้าออก แต่ก็ไม่มีอะไรหลังตู้ เช่นเดียวกันกับส่วนอื่นๆ
แล้วเสียงนั้นมาได้อย่างไร...เสียงที่กำลังกระหน่ำดังอย่างบ้าคลั่ง!
เป็นไปได้ไหมที่ว่า…อาจเป็นเสียงจากสิ่งที่เรามองไม่เห็น
เสียงจากวิญญาณ…เสียงจากผี!
รุ่งเช้า…
“บ๊ะ! สรุปว่าวันที่สองแล้ว เอ็งก็ยังไม่เจออะไรอีกเหรอ ?” ลุงเมียงถามด้วยน้ำเสียงผิดหวัง
รณภพสั่นหัวขณะที่โรยพริกไทยลงชามโจ๊ก เจ้าของร้านถึงกับมีสีหน้าเซ็งพลางพ่นลมหายใจออกมา
“เป็นไปได้ยังไง เขาลือกันจะตายว่าบ้านหลังนั้นผีเฮี้ยน!”
“งมงายน่าลุง” รณภพแก้ต่าง เขาเริ่มใช้ช้อนคนให้โจ๊กเข้ากันแล้วลงมือทาน ทว่ามือเหี่ยวย่นของลุงเมียงก็ยื่นมารั้งแขนเขาไว้เสียก่อน แกเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้แล้วจ้องคาดคั้น
“ไม่เจออะไรผิดปกติแน่เหรอวะ ? อย่างเช่นเสียง...”
รณภพนึกย้อนไปถึงเมื่อคืนที่ได้ยินเสียงประหลาด เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียงนั้นมาจากไหน และเพราะหาคำตอบไม่เจอ เขาจึงทึกทักเอาว่ามันต้องมีรังหนูอยู่ที่ใดสักแห่ง อาจเป็นชั้นใต้ดิน บนเพดาน หรือไม่ก็เพราะคำบอกเล่าของลุงเมียงทำให้เขาประสาทหลอน เมื่อคิดเช่นนั้น รณภพจึงไม่ได้ใส่ใจกับมันอีก เขายังนอนหลับ แม้จะหลับไม่ค่อยสบายนักเพราะเสียงดังกล่าวดังตลอดจนถึงเที่ยงคืนครึ่ง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ยังตื่นขึ้นมาทำงานได้อีกนิดหน่อย ก่อนจะอาบน้ำแต่งตัวแล้วก็มานั่งให้ลุงเมียงจ้องหน้าถามหาคำตอบนี่แหละ
นักเขียนหนุ่มยิ้มจางๆ แล้วตอบไปคล้ายรู้สึกผิด “เสียใจด้วยลุง ไม่มีอะไรผิดปกติสักอย่าง” เขาเลี่ยงที่จะเล่าเรื่องนั้น เพราะเชื่อว่าแกจะต้องถามซักไซ้อีกยาว แล้วก็คงจะฟันธงใส่เขาว่านั่นเป็นเสียงของผี
ลุงเมียงพ่นลมหายใจแล้วส่ายหน้าหวือ เหมือนไม่เชื่อคำบอกเล่าของเขา แกสนใจรณภพอยู่สักพัก ก่อนจะเดินกลับไปหน้าร้านเพื่อทำโจ๊กต่อ เมื่อเห็นร่างผอมบางของเจ๊ศรีเดินกลับเข้ามาหลังออกไปซื้อหนังสือพิมพ์
รณภพตอกย้ำความมั่นใจว่าเสียงที่ได้ยินไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ลุงเมียงเชื่อ เขาจึงกลับมาทำงานด้วยความรู้สึกโล่งโปร่งเหมือนเช่นเคย แต่ถึงอย่างไร วันนี้นักเขียนหนุ่มผู้ถูกทาบทามจากบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ดาวประกายก็ทำได้ไม่ค่อยดีนัก เริ่มตั้งแต่หลังจากกลับเข้ามาในบ้าน แม่ก็โทรมาหาเขาแล้วบอกว่าปลายเดือนหน้าลูกสาวของเพื่อนข้างบ้านกำลังจะแต่งงาน แล้วยังมีสายตรงจากบรรณาธิการที่ถามถึงความคืบหน้าของนิยาย ซึ่งคำตอบของรณภพก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าการบอกว่า “กำลังเร่งอยู่ครับ” และอีกสายที่เขาไม่ค่อยอยากรับนัก นั่นก็คือพวกเพื่อนตัวป่วนที่ถามว่าจะไปงานเลี้ยงรุ่นไหม ซึ่งเขาก็ได้แต่ตอบไปว่ายังไม่แน่ใจ
นี่ยังไม่รวมถึงสายโทรผิดอีกตั้งสองสาย โทรมาสั่งดอกไม้บ้างล่ะ สั่งน้ำแข็งบ้างล่ะ
ให้ตายเถอะ วันนี้มันวันอะไรวะ!
ดูเหมือนว่าวันนี้จะเป็นวันซวยบรมของรณภพจริงๆ นั่นล่ะ เพราะนอกจากตอนเช้าเขาจะเจอเรื่องวุ่นวายแล้ว ยังมีเรื่องน่าขนลุกให้เจออีกในยามค่ำคืนอีก...
มันกลับมาอีกครั้ง เมื่อถึงเวลาสองทุ่มตรง!
ท่ามกลางความเงียบสงัด และอากาศโล่งโปร่งสบาย กลับมีเสียงคล้ายคนกำลังจรดนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ดีดอย่างรวดเร็ว เสียงเคาะคานเว้นวรรค เสียงปัดแคร่ มันดังก้องขึ้นเรื่อยๆ เสมือนอยู่ในห้องห้องหนึ่งในบ้านนี้
ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก
ตึ้ง!
...
ครืด
รณภพหยุดพิมพ์งานของตัวเอง เขายืนขึ้นแล้วกวาดมองไปทั่วห้อง ไม่มีอะไรผิดปกติ นอกจากเสียงนั้นที่ยังคงกระหน่ำดังขึ้นไม่หยุด
เป็นเสียงของหนูจริงหรือ ? ถ้าอย่างนั้นพวกมันก็ช่างแม่นยำในเวลาเสียเหลือเกิน ต้องมาทุกๆ วันในเวลาสองทุ่มตรง
นักเขียนหนุ่มกลืนน้ำลายหนืดลงคอ เริ่มหายใจไม่คล่อง ท้องโหวงไหว หากแต่ก็จำใจทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วหมุนตัวกลับไปเผชิญกับคอมพิวเตอร์ตัวเก่งตามเดิม
“จะเสียงอะไรก็ช่าง ดังได้ก็ดังไป”
เขายังคงเชื่อว่าต้องเป็นเสียงพวกสัตว์แน่นอน เห็นทีพรุ่งนี้เช้าคงต้องโทรไปเรียกบริษัทกำจัดหนูมาเสียแล้ว
รณภพบังคับสมาธิให้จรดอยู่แต่ที่ตัวอักษรตรงหน้า หากแต่เสียงนั่นกลับทำลายสมาธิเขาอย่างย่อยยับ เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เสียบหูฟังแล้วเปิดฟังเพลงเสียเลย
แต่เหมือนยิ่งหนี มันกลับยิ่งไล่ตาม...
เสียงแป้นพิมพ์ดีดยังถี่รัว และดังขึ้นเรื่อยๆ จนกลบเสียงเพลงที่รณภพกำลังฟัง ระดับความดังนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังนั่งใช้เครื่องพิมพ์ดีดอยู่ข้างหลังเขา
เหมือนกับว่ามันค่อยๆ เลื่อนเข้ามาใกล้...ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคน ทั้งเครื่องพิมพ์ดีด
ขนทุกเส้นในร่างกายลุกชันขึ้นมา เพลงของบอดี้สแลมไม่ได้อยู่ในหัวของนักเขียนหนุ่มอีกแล้ว เขาดึงหูฟังออกโดยไม่รู้ตัวสักนิด
ท่ามกลางเสียงประหลาดที่ยังดังไม่หยุด และดังเหมือนกำลังเข้าใกล้เขามาเรื่อยๆ ทำเอารณภพหายใจไม่ทั่วท้อง สัญชาตญาณสั่งให้เขาเบือนหน้าไปมองด้านข้าง
คุณพระ! เงาของใครบางคนนั่งอยู่ด้านหลัง!
เม็ดเหงื่อไหลออกมามากมายจากคนที่พูดปาวๆ ว่าไม่เชื่อเรื่องผีสาง รณภพรู้สึกเหมือนมีอะไรจุกอยู่ที่ลำคอ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จะหันไปมองอีกทีดีไหม แต่เขาแน่ใจว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้ตาฝาดแน่นอน
ฉับพลัน...ทุกเสียงก็เงียบหายไป
รณภพยังคงลังเลที่จะหันไปมองด้านหลัง ความรู้สึกบางอย่างบอกเขาว่ามีใครบางคนกำลังนั่งจ้องเขาจริงๆ แต่ด้วยความอยากรู้ บวกกับความดื้อรั้นที่จะยืนยันว่าเรื่องของลุงเมียงไม่มีในโลก เขาจึงค่อยๆ เอี้ยวตัวเพื่อหันไปมอง...
ไม่มีสิ่งใด...
รณภพผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ
หากแต่เสี้ยววินาทีถัดมา ก็เกิดเสียงดังสนั่นลั่นห้องไปทั่ว เสียงรัวแป้นพิมพ์ดีดและเสียงครูดลากแคร่ดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง โดยที่เจ้าของห้องไม่สามารถหาที่มาของเสียงได้!
ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก
ตึ้ง!
…
ครืด
ไม่ใช่เสียงสัตว์แล้ว! รณภพผวา ดีดตัวขึ้นผึงจากเก้าอี้แล้วกระโจนขึ้นเตียง พร้อมกับคว้าผ้าห่มนอนคลุมโปง
ให้ตายเถอะ! นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเลยว่ากลัวจนขนลุกชันเป็นอย่างไร และแทบจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาสวดมนต์!
เช้าวันรุ่งขึ้น...
รณภพตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวตุบๆ เสียงประหลาดนั่นยังดังก้องอยู่ในหัว เสมือนเพิ่งผ่านพ้นไปไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า จนป่านนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่ามันคือเสียงอะไร
แต่ที่แน่ๆ มันน่าหวาดกลัวระคนน่าหงุดหงิดใจในคราเดียวกัน
วันนี้ชายหนุ่มไม่ได้ไปทานมื้อเช้าที่ร้านโจ๊กของลุงเมียง หนึ่ง คือเพื่อหลีกเลี่ยงคำถามงี่เง่า สอง เพื่อไม่ให้เสียเวลาในการทำงาน ทว่าเขาก็ไม่สามารถเขียนได้ดีเท่าไหร่นัก ผลพวงจากเรื่องเมื่อคืนนี้ทำให้ใจยังพะวงถึงเสียงอันน่าพิศวง กระนั้นเขาก็พยายามย้ำกับตัวเองว่าต้องรีบทำงานในช่วงเช้าจรดเย็นให้ได้มากที่สุด เพื่อที่ว่าตอนกลางคืนจะได้เข้านอนเร็ว บางทีหากเขาหลับ อาจจะไม่ต้องมารับรู้เสียงที่ว่านั่นก็ได้
รณภพคิดผิดถนัด
เสียงนั้นยังคงรบกวนเขาในอีกสองวันถัดมา นักเขียนหนุ่มเริ่มมั่นใจแล้วว่าต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เขาตั้งใจจะไปเล่าเรื่องนี้ให้ลุงเมียงฟัง ทว่าสายตรงครั้งที่เท่าไหร่ไม่ทราบของบรรณาธิการ ทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจกลับมาโฟกัสที่งานตามเดิม
รณภพเริ่มปรับตัวให้เข้ากับเวลาทำงานใหม่ได้ ช่วงเช้าจรดหกโมงเย็นจะเป็นเวลาที่เขานั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วบรรจงสร้างสรรค์ผลงาน ในขณะที่เวลาช่วงหกโมงเย็นเป็นต้นไป เขาจะเข้านอนทันที
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเสียงน่ากลัวจะไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเขา
สองวันมานี้ฝนตกหนักตอนกลางคืน จึงพอจะกลบเสียงที่ว่าไปได้บ้าง รณภพทำใจดีสู้เสือ คิดเสียว่ามันเป็นเสียงที่เกิดจากหนูแทะของบางอย่าง และนั่นจึงทำให้เขาพอข่มตาหลับไปได้
ทว่าคืนนี้เสียงบ้าๆ นั่นดังเกินกว่าที่เขาจะเมินเฉย มีทั้งเสียงสายฟ้าฟาดระห่ำดังเปรี้ยงปร้าง เม็ดฝนที่ตกกระหน่ำราวกับจะทำให้แผ่นดินจมไปอยู่ใต้น้ำ ทั้งเสียงสัตว์ร้อง เสียงรัวแป้นพิมพ์ดีดถี่ยิบ ไหนจะความกังวลเรื่องงานที่ยังไม่เสร็จ ร่างกายที่ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ จนรู้สึกว่าพลังงานค่อยๆ ถูกสูบออกไปจนแทบไม่หลงเหลือ สุดท้ายความอดทนของรณภพก็ขาดผึง!
“แม่งเอ๊ย!”
เขาถีบผ้าห่มออก ก่อนจะก้าวลงจากเตียงพร้อมกับคว้าไฟฉายใกล้มือ
คืนนี้เขาจะต้องหาสาเหตุให้ได้ว่าไอ้เสียงบ้าๆ นั่นเกิดจากอะไร!